มลภาวะทางแสง (Light Pollution) กับการถ่ายภาพทางช้างเผือก

ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องมลภาวะทางแสง หรือคำที่มักคุ้นหูกันคือ Light Pollution ซึ่งเป็นแสงที่รบกวนที่มีผลกระทบต่อการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งหากเราลองสังเกตจากภาพถ่ายที่เราถ่ายมา เช่น ภาพทางช้างเผือกที่หลายๆคนออกไปล่าถ่ายภาพจากสถานที่ต่างๆ เช่น บนยอดดอย อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ชานเมือง หรืออุทยานแห่งชาติต่างๆ ก็มักจะพบว่าในแต่ละสถานที่จะมีสภาพท้องฟ้าที่แตกต่างกันของความมืดของท้องฟ้า รวมทั้งระดับฟ้าหลัว และมลภาวะทางแสงที่ต่างกันออกไป และหากเรานำภาพทั้งหมดมาเปรียบเทียบกันจะเห็นว่าแต่ละภาพมีความแตกต่างกันทั้งความสว่าง รายละเอียดของภาพ รวมทั้งการตั้งค่าความไวแสง ISO ที่ใช้ในการถ่ายภาพก็จะแตกต่างกันด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ในการสังเกตด้วยตาเปล่า ในบางครั้งอาจสังเกตเห็นความแตกต่างได้ไม่มากนัก แต่หากผู้ที่มีประสบการณ์ถ่ายภาพจากหลายๆ สถานที่ก็จะทราบได้เป็นอย่างดีว่าท้องฟ้าที่ไหนใสเคลียร์มากกว่ากัน ซึ่งก็ทราบได้จากภาพที่ถ่ายมานั่นเองครับ แต่ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าในเกี่ยวกับ “มลภาวะทางแสง” กันก่อนดีกว่าครับ

 

มลภาวะทางแสง (Light Pollution)

มลภาวะทางแสง หมายถึง แสงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ในเวลากลางคืน รวมถึงมลภาวะของแสงที่สว่างจ่าจนเกินความจำเป็นหรืออาจเกิดมาจากการออกแบบและติดตั้งหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลายประการด้วยกัน โดยที่สำคัญยังส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมและต่อกิจกรรมดาราศาสตร์ของนักดาราศาสตร์ด้วย และการออกแบบหลอดไฟประดิษฐ์ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยที่สำคัญยังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมดาราศาสตร์ของนักดาราศาสตร์ด้วย และการออกแบบหลอดไฟประดิษฐ์ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือการติดตั้งหลอดไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือการติดตั้งหลอดไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

มลภาวะทางแสงที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ ปัจจุบันมีนักดาราศาสตร์ทั่วโลกได้ตระหนักถึงมลภาวะทางแสง ที่มีผลกระทบต่อดวงดาว จึงได้ทำการศึกษามลภาวะที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ แสงสว่างที่มาจากดวงดาว ส่งผลให้การมองเห็นของดวงตาของเราที่มองอาจไม่ชัดเจน ทางนักดาราศาสตร์จึงศึกษาและอาศัยเครื่องมือทางดาราศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นดวงดาวอย่างชัดเจน ซึ่งการใช้เครื่องมือ ทำให้แสงที่ได้รับส่งผลกระทบต่อดวงตาของเรา นักดาราศาสตร์จึงมีการคิดค้นพัฒนาอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการ ในการสังเกตดวงดาว เช่น กล้องโทรทรรศน์ แผ่นกรองแสงในช่วงคลื่นต่างๆ เป็นต้น

 

ภาพถ่ายทางช้างเผือกช่วยบ่งบอกความมืดของท้องฟ้าได้อย่างไร

ในการสังเกตความมืดของท้องฟ้าด้วยตาเปล่า ในบางครั้งอาจสังเกตเห็นความแตกต่างได้ไม่มากนัก แต่หากผู้ที่มีประสบการณ์ถ่ายภาพจากหลายๆสถานที่ ก็จะทราบได้เป็นอย่างดีว่าท้องฟ้าที่ไหนใสเคลียร์มากกว่ากัน ซึ่งก็ทราบได้จากภาพที่ถ่ายมานั่นเองครับ โดยภาพถ่ายทางช้างเผือกที่ถ่ายมาจะบอกได้ถึงระดับความมืดและความใสเคลียร์ของท้องฟ้าได้ เช่นตัวอย่างด้านล่างเรานำภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยอุปกรณ์คล้ายกัน แต่ถ่ายต่างสถานที่กันมาเปรียบเทียบ

ภาพถ่ายทางช้างเผือก บริเวณยอดดอยอินทนนท์ ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 2,000 เมตร ห่างไกลจากตัวเมืองประมาณ 60 กิโลเมตร
ภาพถ่ายทางช้างเผือก บริเวณยอดดอยอินทนนท์ ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 2,000 เมตร (ภาพโดย : ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ / Camera : Canon 1DX / Lens : Canon EF16-35mm f/2.8L II USM / Focal length : 16 mm. / Aperture : f/2.8 / ISO : 6400 / Exposure : 30sec)
  ภาพถ่ายทางช้างเผือก บริเวณชานเมือง ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเพียง 200 เมตร ห่างไกลจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร
ภาพถ่ายทางช้างเผือก บริเวณวัดพระธาตุเขาน้อย จ.น่าน ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 200 เมตร (ภาพโดย : ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ / Camera : Canon 5D Mark ll / Lens : Canon EF16-35mm f/2.8L II USM / Focal length : 16 mm. / Aperture : f/2.8 / ISO : 2000 / Exposure : 30sec)
 

จากภาพตัวอย่างเราจะทราบได้ทันทีว่า ภาพที่ถ่ายมานั้นมีสภาพท้องฟ้ามืดมากแค่ไหน ก็ดูได้จากค่า ISO หรือความไวแสง ยิ่งภาพที่ถ่ายใช้ความไวแสงสูงเท่าไหร่ก็แสดงถึงความมืดของท้องฟ้ามากเท่านั้น  ดังเช่นภาพด้านบนที่ถ่ายจากยอดดอยอินทนนท์ ใช้ค่า ISO สูงถึง 6400 แต่อีกภาพถ่ายด้วย ISO เพียง 2000 เท่านั้น

สาเหตุที่บริเวณที่อยู่ใกล้ตัวเมืองมีมลภาวะทางแสงมากกว่ายอดดอย ทำให้เราไม่สามารถถ่ายภาพโดยใช้ค่าความไวแสงสูงๆ ได้ เพราะแสงจากมลภาวะทางแสงต่างๆ จะฟุ้งกระจายทั่วท้องฟ้า หากใช้ค่า ISO สูงภาพท้องฟ้าก็จะสว่างโอเวอร์จนกลบรายละเอียดของแนวทางช้างเผือกนั่นเอง

ส่วนต่อมาที่ยังสามารถใช้บ่งบอกถึงค่าความมืดและค่าทัศนวิสัยของท้องฟ้าก็คือ รายละเอียดของภาพถ่ายแนวทางช้างเผือก ทั้งส่วนของเนบิวลา กลุ่มเมฆหมอกของแก๊สและฝุ่นธุลีของสสารในอากาศ ที่อยู่ระหว่างดวงดาวในกาแล็กซี ซึ่งในสภาพท้องฟ้าที่มืดสนิทและมีทัศนวิสัยที่ดี เราจะได้ภาพที่มีรายละเอียดชัดเจนและยังสามารถดึงสีสันส่วนต่างๆ ของเนบิวลาได้อีกด้วย

 

คำแนะนำสำหรับช่างภาพดาราศาสตร์

ในการถ่ายภาพดาราศาสตร์การวางแผนหาข้อมูลล่วงหน้าเสมอ และใช้เวลากับการวางแผนให้มาก รวมทั้งการศึกษาปัจจัยที่จะส่งผลต่อการถ่ายภาพ การใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เช่นแอพพลิเคชั่น เช่น Light Pollution Map ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน การถ่ายภาพดาราศาสตร์นั้นเร่งรีบไม่ได้ การวางแผนคือกุญแจสำคัญ

ปัญหามลภาวะทางแสงปัจจุบันมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำหรับการถ่ายภาพ ดังนั้นการช่วยกันรณรงค์ช่วยการอนุรักษ์ท้องฟ้าที่มืดสนิทไว้นอกจากประโยชน์ทางการศึกษาทางดาราศาสตร์แล้ว ยังส่งผลถึงการอนุรักษ์พลังงานอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากมีการรณรงค์ก็อยากขอความร่วมมือจากช่างภาพดาราศาสตร์ช่วยกันสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมการอนุรักษ์ท้องฟ้าเพื่อเราจะได้มีท้องฟ้าที่ดีในการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ต่อๆ ไป

 
แอพพลิเคชั่น Light Pollution Map – Dark Sky ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี เหมาะสำหรับใช้ในการตรวจสอบมลภาวะทางแสงได้ทั่วโลก
 
 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า